วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

EFA อีเอฟเอ กรดไขมันจำเป็น

EFA อีเอฟเอ กรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายต้องการ สำคัญต่อสมอง ความจำ และหัวใจ
-กรดไขมันจำเป็นคืออะไร (What is Essential Fatty Acid?)
-กรดไขมันจำเป็นที่สำคัญ (Improtant Essetial Fatty Acid)
-เมล็ดแฟล็กซ์ (Health Benefits of Flaxseed)
-กรดไขมันจำเป็นคืออะไร
 

      กรดไขมันจำเป็น เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวหลายๆโมเลกุลเรียงต่อกัน เหตุที่เราเรียกว่าจำเป็นก็เพราะว่ามีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร และมีการออกฤทธิ์เฉพาะในร่างกาย ซึ่งไม่สามารถไปรวมตัวกับกรดไขมันชนิดอื่นๆได้ นอกจากนี้แล้วร่างกายของเราไม่สามารถสร้างกรดไขมันชนิดนี้เองได้ จำเป็นต้องรับจากอาหารที่รับประทานเข้าไปเท่านั้น
   
     คนเราต้องการกรดไขมันจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดี เพราะว่ากรดไขมันจำเป็นนั้นเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างส่วนต่างๆทั้งหมดของร่างกาย เช่น ผนังเซลล์ และสารพรอสตาแกลนดิน กรดไขมันอิ่มตัวที่พบในไขมันแปรรูป และในอาหารที่เรารับประทาน เข้าไปในแต่ละวัน มีผลกระทบต่อกรดไขมันที่ดีเหล่านี้  นั่นหมายความว่าเมื่อระดับของกรดไขมันจำเป็นเหล่านี้ลดลงก็จะทำให้ระดับของกรดไขมันเลวมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง และโรคหัวใจมากขึ้น อีกทั้งสภาพและการทำหน้าที่ต่างๆ ของร่างกายก็จะถูกทำลายลงไปด้วย
     กรดไขมันจำเป็น สามารถใช้เป็นพลังงานสำรอง ทำหน้าที่ในการนำพาวิตามินที่ละลายในน้ำมัน คือ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค เข้าสู่ระบบการทำงานต่างๆ และยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสวาวะช็อคจากการดูดซึมของอวัยวะต่างๆของร่างกาย และด้วยโครงสร้างที่ไม่เหมือนใครจึงทำให้กรดไขมันจำเป็นทำหน้าที่สำคัญที่กรดไขมันอื่นๆไม่สามารถทำได้ ซึ่งได้แก่
     o รักษาโครงสร้างและการทำงานของผนังเซลล์
     o ปกป้องพัฒนาการของเซลล์ต่างๆให้เป็นไปอย่างปกติ
     o ส่งเสริมสุขภาพของผิวพรรณ ช่วยให้อาการโรคผิวหนังดีขึ้น รวมไปถึงโรคสะเก็ดเงิน และโรคข้ออักเสบจากรูมาตอยด์
     o ส่งเสริมการทำงานของสมอง ระบบประสาท ต่อมหมวกไต และลูกอัณฑะ
     o ช่วยบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับโรคหัวใจและหลอดเลือดในรูปแบบต่างๆ โรคอัมพฤกษ์ โรค หลอดเลือดแข็งตัว ไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูง
     o ช่วยในการย่อยอาหารเผาผลาญอาหารในร่างกาย ซึ่งรวมไปถึงการป้องกันโรคอ้วนด้วย
     o เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง
     o เพิ่มความแข็งแกร่งของระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท และระบบทางเดินหายใจ
     o ส่งเสริมสุขภาพและการเจริญเติบโตของทารกและเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาการของ สมอง
     o ช่วยบรรเทาอาการภูมิต้านทานผิดปกติ เช่น โจเกรส์ ซินโดรม
     o ช่วยในเรื่องปัญหานรีเวช เช่นอาการวัยทอง อาการปวดเต้านม
     o ช่วยในการขับพิษของสุรา โรคตับแข็ง โรคขาดสมาธิในเด็ก โรคจิตเภทและโรคมะเร็ง

การได้รับกรดไขมันจำเป็นไม่เพียงพอ อาจทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

     o โรคผิวหนัง เช่นโรคเรื้อน
     o ผมร่วงผิวหนังแห้งมีริ้วรอย
     o ภาวะการทำงานของตับและไต เสื่อมถอย
     o ไม่มีสมาธิ และสภาพจิตตกต่ำ ความจำเสื่อม
     o ภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อได้ง่าย
     o การเป็นหมันในผู้ชาย และการแท้งในผู้หญิง
     o การรักษาแผลเป็นไปได้ช้า
     o ภาวะข้อต่ออักเสบ
     o โรคหัวใจและระบบการไหลเวียนของโลหิตมีปัญหา 
     o ร่างกายมีการเจริญเติบโตและเรียนรู้ช้าในวัยเด็ก
     o ความดันโลหิตสูง

กรดไขมันจำเป็นที่สำคัญ

     โอเมก้า 3 ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็นที่เรียกว่า กรดอัลฟา-ไลโนเลนิค (Alpha-Linolenic) มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทด้านพัฒนาการเรียนรู้ และการมองเห็น นอกจากรนี้แล้วยังมีบทบาทมำคัญในการช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล และไตรเอธิลกลีเซอรอล (Triethylglycerol)ในเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและอัมพาต เส้นเลือดสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง อาการซึมเศร้า ปวดข้อ อาการสมาธิสั้น ป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ลดการอักเสบของโรคไขข้อเสื่อมรูมาตอยด์ ลดอาการปวดหัวไมเกรนและปวดประจำเดือน เพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายและลดอาการภูมิแพ้ พบมากในเมล็ดเฟล็กซ์ คาร์โนลา วอลนัท และผักใบเขียวจัด กรดไขมันไอโคซา เพนตาโนอิค (Eicosapentaenoic = EPA) และกรดไขมันไดโคซาเฮกซาโนอิค (Docosa hexaenoic  = DHA) ซึ่งพบในอาหารทะเล ปลาที่มีไขมันมาก เช่น แซลมอน เทร้าท์ ซาร์ดีน แมคเคอเรล และคอด

     โอเมก้า 6 กรดไขมันจำเป็นที่เรียกว่า กรดแกมมาไลโนเลอิค (Gamma Linoleic Acid =GLA) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์หลายด้าน  ทั้งทางด้านระบบภูมิคุ้มกัน ระบบไหลเวียนโลหิต ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ โดยลดการแข็งตัวของเลือด ลดการจับกลุ่มของเกล็ดเลือด ทำให้หลอดเลือดที่หัวใจเป็นปกติ ลดอัตราการเกิดโรคความดันโลหิตสูง ลดการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ช่วยบำรุงตับและใช้ได้ผลดีในผู้ป่วยที่ดื่มสุรา หรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง ป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ โดยลดการแข็งตัวของเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนมากขึ้น มีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ซึ่งจริงๆแล้วร่างกายคนสามารถสังเคราะห์ GLA เองได้ แต่ในหลายๆสภาวะทำให้สร้างได้น้อยลงหรือสร้างไม่ได้ เช่น สภาวะความเครียด และความชรา  ความเจ็บปวดจากโรคเรื้อรังต่างๆ ทำให้มีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย การทำงานของสมองและหัวใจ GLA พบมากในข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส เมล็ดบอราจ เมล็ดพืชและถั่วเปลือกแข็ง เนื้อสัตว์ นมและไข่

     โอเมก้า 9 กรดโอเลอิค ( Oleic Acid ) หรือมีชื่อเรียกอีกหนึ่งว่า เลซิติน การบริโภคไขมันประเภทนี้จะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด เพิ่มปริมาณไขมันชนิดดี ( HDL ) และลดปริมาณไขมันชนิดไม่ดี ( LDL ) จึงช่วยลดอาการอุดตันของเส้นเลือด ป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยในการบำรุงสมอง ป้องกันการเป็นโรคสมองเสื่อมและโรคพาร์กินสัน ช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของตับ และลดการอุดตันของถุงน้ำดี สารโอเลอิค พบมากใน น้ำมันมะกอก น้ำมันคาโนลา น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด  ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดธัญพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พีแคน พิซตาซิโอ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง เมล็ดทานตะวัน วอลนัท ดอกคำฝอย ฯลฯ

      เมล็ดแฟล็กซ์ คืออะไร
       
เมล็ดแฟล็กซ์  หรือเมล็ดลินิน มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ลินัม ยูซิทาทิสมัม ( Linum Usitatissimum ) ซึ่งหมายความว่า "มีคุณประโยชน์สูงสุด" มีลักษณะคล้ายเมล็ดงา แต่มีเปลือกแข็งมันวาวและใหญ่กว่าเล็กน้อย มีส่วนประกอบของสารที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ อุดมด้วยกรดอัลฟา-ไลโนเลนิค ( ALA ) ที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ  โดยร่างกายของเราจะเปลี่ยน  ALA เป็นกรดไอโคซาเพนทาโนอิค ( EPA ) และกรดโดโคซาเฮกซาโนอิค ( DHA ) หรือก็คือโอเมก้า 3 ที่พบได้ในน้ำมันปลา  ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นที่ช่วยป้องกันโรคเสื่อมถอยต่างๆ อาทิโรคหัวใจ โรคข้อต่ออักเสบ ฯลฯ 
     นอกจากนี้เมล็ดแฟล็กซ์ยังเป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารลิกแนน ( Lignans ) ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย อีกทั้งยังมีส่วนในการป้องกันมะเร็ง และต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา ไวรัสต่างๆ รวมไปถึงเชื้อที่เป็นต้นเหตุของเริม บริเวณปาก อวัยวะเพศ และโรคงูสวัดด้วย

ประโยชน์ของเมล็ดแฟล็กซ์ และน้ำมันสกัดจากเมล็ดแฟล็กซ์ 

     o ลดความเสี่ยงจากการเกิดภาวะโรคหลอดเลือดหัวใจ จากข้อมูลการศึกษามากมายที่ระบุว่าน้ำมันสกัดจากเมล็ดแฟล็กซ์ หรือเมล็ดแฟล็กซ์บด สามารถช่วยลดระดับ คลอเรสเตอรอล ซึ่งมีนัยสำคัญต่อความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจด้วย นอกจากนั้นเมล็ดแฟล็กซ์ ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกจากภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบและภาวะความดันโลหิตสูง ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งยังอาจช่วยป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว อีกทั้งยังอาจช่วยป้องกันภาวะความดันสูงจากการติดเชื้อ หรือการอักเสบที่อาจก่อให้เกิดอาการหลอดเลือดแข็งตัว ซึ่งอาจจะส่งผลให้ระบบหมุนเวียนโลหิตผิดปกติ
     o ช่วยบรรเทาอาการจากก้อนเนื้อหรือถุงน้ำบริเวณเต้านม  กรดไขมันโอเมก้า 3 มีคุณสมบัติในการดูดซึมไอโอดีนเข้าสู่ร่างกาย สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเสี่ยงหรือตรวจพบก้อนเนื้อหรือถุงน้ำ (ซีสต์) บริเวณหน้าอก จะมีปริมาณไอโอดีนในร่างกายค่อนข้างต่ำ ซึ่งโอเมก้า 3 ที่พบในเมล็ดแฟล็กซ์  มีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากภาวะดังกล่าวได้
     o มีส่วนช่วยในการรักษาโรคผิวหนังต่างๆ กรดไขมันจำเป็นที่พบในเมล็ดแฟล็กซ์ มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและรักษาโรคผิวหนังต่างๆ  เช่น ผื่นแดง อาการคันต่างๆ จากโรคกลากเกลื้อน โรคสะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง และอาการผิวไหม้แดด สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิว น้ำมันสกัดจากเมล็ดแฟล็กซ์จะช่วยลดความมันบนใบหน้า ซึ่งเป็นต้นเหตุสิวอุดตันได้
     o ลดภาวะความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง สารลิกแนนในเมล็ดแฟล็กซ์มีส่วนช่วยในการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง อาทิ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก  รวมถึงมะเร็งผิวหนัง ได้มีการศึกษาถึงประสิทธิภาพของเมล็ดแฟล็กซ์กับ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ทดลองโดยให้ผู้ป่วย โรคมะเร็งต่อมลูกหมากใส่เมล็ดแฟล็กซ์ ประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ เพิ่มในอาหารทุกมื้อที่รับประทานประมาณ 5 สัปดาห์ ผลปรากฎว่าผู้ป่วยที่รับประทานตามกำหนดอย่างเคร่งครัด จะมีการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งช้ากว่า และเซลล์มะเร็งมีอัตราการตายสูงกว่าผู้ป่วยที่ไม่ค่อยปฎิบัติตามที่กำหนดไว้
     o บรรเทาอาการจากภาวะวัยทอง สารลิกแนนและไฟโตรเอสโตรเจนที่มีอยู่ในเมล็ดแฟล็กซ์ จะช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งส่งผลให้การมีรอบเดือนเป็นไปตามปกติ และช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบจากภาวะวัยทอง


เอกสารอ้างอิง: Nutritional Health Benefit Vol.1 //New Life Worldwide (Thailand)CO.,LTD/NU WEALTH INC.


ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ผักเม็ด นิวไลฟ์ ขอนแก่น MIDC 11         
 (363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 089-717-2425,085-007-5185)

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แคลเซียม สารอาหารสำหรับกระดูก


แคลเซียม(Calcium)  สารอาหารสำหรับกระดูก(Bone Food)

      -แคลเซียม.....รู้ไว้มีประโยชน์ (General Knowledge about Calcium Nutrition)
     -แคลเซียม แอล-ทรีโอเนท (Calcium L-Threonate)
     -ไฮโดรไลเซท คอลลาเจน (Hydrolysed Collagen)
     -แกมมา ออริซานอล (Gamma Orizanol)

   "แคลเซียม"(Calcium) เป็นธาตุอาหารที่พบมากที่สุดในทุกส่วนของร่างกาย โดยในร่างกายของเรา 50 กิโลกรัม จะมีแคลเซียมอยู่ประมาณ 1 กิโลกรัม ซึ่ง 99% ของแคลเซียมทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ที่กระดูกและฟัน ส่วนอีก 1 % ที่เหลือจะอยู่ในกระแสเลือด

หน้าที่สำคัญของแคลเซียม
  
   หน้าที่สำคัญหลักของแคลเซียม คือ การสร้างกระดูก ซึ่งเป็นโครงสร้างของร่างกาย ช่วยรักษารูปร่างและลักษณะของร่างกายให้สวยงาม และเป็นที่ยึดเกาะของกล้ามเนื้อ เป็นเกราะป้องกันอวัยวะต่างๆ ไม่ให้ได้รับความกระทบกระเทือน มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของหลอดเลือด ทำงานเกี่ยวกับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท อีกทั้งยังมีส่วนเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และรักษาความสมดุลของเลือดและความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย

อะไรจะเกิดขึ้นหากเราได้รับแคลเซียมไม่เพียงพอ

     การขาดแคลเซียมสามารถก่อให้เกิดผลร้ายแรงต่อร่างกายได้นอกเหนือไปจากอาการหงุดหงิดง่าย ชา เป็นเหน็บที่นิ้วมือ นิ้วเท้า รอบปาก และมีอาการกระตุก เกร็งของกล้ามเนื้อแล้ว ยังอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติ และเกิดอาการหัวใจล้มเหลวได้ด้วย นอกจากนั้นยังก่อให้เกิดกลุ่มอาการของโรคต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกอ่อน โรคเกี่ยวกับข้อต่อ โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็งบางชนิด  ฯลฯ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ จะเป็นโรคเกี่ยวกับ กระดูกทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นเพราะว่าแคลเซียมเป็นส่วนสำคัญของกระดูกนั่นเอง

มารู้จักโรคเกี่ยวกับกระดูกกันเถอะ

โรคกระดูกพรุน(Osteoporosis)

     โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่กระดูกทั่วร่างกายมีมวลกระดูกลดน้อยลงและมีการเสื่อมสลายของเนื้อเยื่อกระดูก จนทำให้กระดูกเปราะบาง และแตกหักง่ายกว่าปกติ ถือเป็นความผิดปกติของระบบโครงสร้าง ซึ่งทำให้ความแข็งแรงของกระดูกเสียไป โดยตลอดอายุขัยของคนเรา ในช่วงเด็กและวัยรุ่น ร่างกายจะมีการสร้างกระดูกใหม่ และสลายกระดูกเก่า กระดูกจึงใหญ่ หนา และหนักขึ้น ทำให้มีมวลกระดูกสะสมในร่างกายสูง จนกระทั่งอายุถึง 35 ปีโดยประมาณ อัตราการสลายกระดูกเก่าจะเร็วกว่าการสร้างกระดูกใหม่ โดยจะมีการเสียมวลกระดูกเฉลี่ย 0.7% ต่อปีสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ร่างกายจะสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วมากถึง 5 % ต่อปี ทำให้ผู้หญิงวัยทองเป็นโรคกระดูกพรุนมากว่าผู้ชายถึง 3 เท่า

โรคข้ออักเสบ (Osteoarthritis)

     เป็นโรคที่เกิดกับกระดูกอ่อน ซึ่งอยู่บริเวณข้อต่อสึกกร่อน ทำให้กระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหว เกิดอาการปวดบวม และร้อนบริเวณข้อต่อ อาการเช่นนี้มักจะเกิดขึ้นกับข้อต่อที่ต้องรับแรงมาก หรือข้อต่อที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ เช่น หัวเข่า สะโพก  กระดูกสันหลัง นิ้วมือ และมักเป็นในผู้สูงอายุ
     โรคเกี่ยวกับกระดูกนั้นถือได้ว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขระดับโลกก็ว่าได้ แต่โรคเหล่านี้ยังไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร ทั้ง โรคกระดูกพรุน และ  โรคข้ออักเสบ ยังเป็นโรคที่พบมากที่สุดในประชากรผู้สูงอายุ และผลข้างเคียงข้างเคียงที่ตามมาของการมีกระดูกพรุนก็คือ กระดูกหัก (ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้เกิดอุบัติเหตุเบาๆ เช่นการหกล้ม) โดยสถิติพบว่า ผู้หญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปมีอัตราเสี่ยงต่อการกระดูกหักประมาณ 40% และอัตราการตายจากกระดูกหักในผู้หญิงนั้นมากกว่าอัตราการตายจากโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งมดลูก และมะเร็งปากมดลูกรวมกันเสียอีก
     ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว โรคทางกระดูกเหล่านี้ สามารถป้องกันและหลีกเลี่ยงได้ สิ่งที่จำเป็นในการป้องกันโรคกระดูกก็คือ รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม หรือรับประทานแคลเซียมเสริมเพิ่มเติมให้เพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย(1,000-1,500 มิลลิกรัม/วัน) ร่วมกับการได้รับวิตามินดี ก็จะเป็นการป้องกันปัญหาเกี่ยวกับกระดูกได้อีกทางหนึ่ง

แคลเซียม แอล-ทรีโอเนท

     แคลเซียม แอล-ทรีโอเนท เป็นแคลเซียมรูปแบบพิเศษ ที่สามารถดูดซึมเข้าร่างกายได้ง่ายและมากกว่าแคลเซียมชนิดอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะคงคุณค่าของแคลเซียมได้ครบทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเสริมความแข็งแรงให้กระดูก ปกป้องข้อต่อและกระดูกอ่อน จึงทำให้กระดูกและข้อต่อแข็งแรง ช่วยยับยั้งการสลายตัวของกระดูกและช่วยปรับปรุงกระบวนการสร้างเซลล์กระดูกแล้ว แอล-ทรีโอเนท ยังมีคุณสมบัติสำคัญคือ

   
 - แอล-ทรีโอเนท ได้มาจากขบวนการสกัดวิตามินซีจากข้าวโพด ทำหน้าที่เป็นตัวนำพาแคลเซียมเข้าสู่เซลล์ของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
   
 - ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย และไม่ทำให้เป็นนิ่ว เพราะ  แอล-ทรีโอเนท มีคุณสมบัติละลายน้ำ และจะถูกขับออกจากร่างกายตามปกติ
   
 - แอล-ทรีโอเนท มีคุณสมบัติเป็น Maximum Absorbtion ซึ่งร่างกายดูดซึมได้ถึง  95% เมื่อเทียบกับแคลเซียมตัวอื่นๆที่ร่างกายดูดซึมได้เพียง 12-15% เท่านั้น
   
 - แอล-ทรีโอเนทจะไปกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจน และเซลล์กระดูกอ่อนบริเวณข้อต่อ ประสิทธิภาพการทำงานของ แอล-ทรีโอเนทจะออกฤทธิ์คล้ายสารประเภทกลูโคซามีน( Glucosamine)และคอนโดรอิติน(Chondroitin) ซึ่งเป็นสารในกลุ่มที่ใช้รักษาอาการผู้ป่วยโรคกระดูกโดยเฉพาะ

เพราะกระดูกไม่ได้ประกอบไปด้วยแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

     กระดูกภายในร่างกายของเรานั้นมีลักษณะที่แตกต่างออกไป แต่กระดูกทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกอ่อน หรือกระดูกข้อต่อ ล้วนแล้วแต่มีแคลเซียม  และคลอลาเจนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญ หากจะเปรียบเทียบกระดูกคือเสาต้นหนึ่ง แคลเซียมก็จะเป็นเหมือนปูนที่สร้างความแข็งแกร่ง และคอลลาเจนก็เปรียบเสมือนเหล็กเส้นภายในแต่ละเส้นที่ช่วยยึดเสาให้มีความเหนียว และแข็งแรง ดังนั้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก และไขข้อที่ถูกต้อง จึงควรได้รับทั้งแคลเซียม(Calcium)และคอลลาเจน(Collagen) ไปพร้อมๆกัน

ไฮโดรไลเซท คอลลาเจน

     คอลลาเจนบริสุทธ์ สกัดจากหนังปลาและเกล็ดของปลาทะเลน้ำลึก มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของผิวหนัง กระดูก และข้อต่อ  ช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจนบริเวณกระดูก เมื่ออายุมากขึ้น อัตราการสูญเสียคอลลาเจนก็มีมากขึ้นด้วย ทำให้คอลลาเจนในร่างกายลดลง  ผิวหนัง กระดูก และข้อต่อ จึงสูญเสียความแข็งแรงตามไปด้วย ดังนั้นเราจึงควรได้รับคอลลาเจนเพิ่มเติมเพื่อรักษาระดับปริมาณคอลลาเจนในร่างกาย ไฮโดรไลเซท คอลลาเจน ยังมีคุณสมบัติที่สำคัญอีกมากมาย อาทิ
     -เสริมสร้างความหนาแน่นมวลกระดูก และเพิ่มความแข็งแรงให้กระดูกและข้อต่อ 
     -เสริมสร้างและลดการสูญเสียของคอลลาเจนบริเวณกระดูกเนื้อเยื่อ และข้อต่อ
     -ป้องกันความเสี่ยงจากโรคกระดูกต่างๆ
     -เสริมสร้างผิวหนัง เส้นผม และเล็บให้มีสุขภาพดี

แกมมา โอริซานอล

     แกมมา โอริซานอล เป็นสารสกัดธรรมชาติจากน้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย และยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ให้ทำงานอย่างเป็นปกติ ซึ่งการทำงานของแกมมา โอริซานอล นั้นจะมีลักษณะคล้ายกับฮอร์โมน แต่ไม่มีผลต่อระดับฮอร์โมนในกระแสเลือด นอกจากนั้น แกมมา โอริซานอล ยังมีคุณสมบัติสำคัญคือ
     -ลดการตีบตันของหลอดเลือด
     -ลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL)ในกระแสเลือด
     -ทำให้เซลล์ในร่างกาย ที่เสื่อมสภาพสามารถฟื้นตัวกลับมาทำงานได้อีกครั้ง และช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์
     -ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย




เอกสารอ้างอิง: Nutritional Health Benefit Vol.1 //New Life Worldwide (Thailand)CO.,LTD/NU WEALTH INC.


ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ผักเม็ด นิวไลฟ์ ขอนแก่น MIDC 11         
 (363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 089-717-2425,085-007-5185)

Wheatgrass & Alfalfa Plus วีทกราสและอัลฟัลฟา พลัส

Wheatgrass & Alfalfa Plus วีทกราสและอัลฟัลฟา พลัส (ผักเม็ด) พลังคลอโรฟิลล์ เพื่อขับล้างสารพิษ(Detoxification)

-อัลฟัลฟา  (Alfalfa)
-วีทกราส  (Wheatgrass)
-โคเอมไซม์ คิวเทน (Co-Enzyme Q10)


อัลฟัลฟา - บิดาแห่งอาหารทั้งมวล

    อัลฟัลฟา ถูกนำมาในประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยใช้ในการรักษาโรคไต และบรรเทาอาการตัวบวม อันเนื่องมาจากการกักเก็บน้ำในร่างกายมากเกินไป อัลฟัลฟานั้นเป็นสมุนไพรยืนต้นซึ่งเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันทั่วโลก จากการวิจัยทางการแพทย์หลายๆ งานวิจัยทำให้เรารู้ว่า อัลฟัลฟานั้นประกอบด้วยสารไบโอติน แคลเซียม โคลิน อินโนซิทอล เหล็ก แมงกานีส  PABA (Para - amino benzoic acid) ฟอสฟอรัส โพแตสเซียท โปรตีน โซเดียม ซัลเฟอร์ ทริปโตเฟน (กรดอะมิโน ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในโปรตีน) และวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี คอมเพล็กซ์ วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค และวิตามินพี นอกจากนั้นแล้วอัลฟัลฟายังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญที่มีคลอโรฟิลล์ และแคโรทีนอยู่มากมาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

ประโยชน์ของอัลฟัลฟา

    อัลฟัลฟาถูกนำมาใช้ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคลอเลสเตอรอล ซึ่งให้ผลที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจของเรา นอกจากนั้นอัลฟัลฟา ยังมีคุณสมบัติช่วยในการขับถ่าย และลดความอยากอาหารในขณะเดียวกัน อัลฟัลฟาก็ยังถูกนำมาช่วยรักษาอาการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ ไต ต่อมลูกหมากทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยระงับอาการปวดในผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ และถุงน้ำต่างๆ ติดเชื้อ และอัลฟัลฟายังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการวัยทองด้วย เช่นช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ ที่เกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย เนื่อจากมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่สูงมาก 

     เนื่องจากอัลฟัลฟามีส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติทางโภชนาการสูงดังนั้นประโยชน์ของอัลฟัลฟา จึงมีมากมายหลายรูปแบบ เช่น

     -บำรุงสุขภาพ-อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้เนื่องจากรากที่หยั่งลึกลงไปในดินได้ดูดซึมธาตุอาหารต่างๆ จากเอมไซม์ที่อยู่ในดิน อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยวิตามินมากมาย(โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเค) แร่ธาตุต่างๆ กรดอะมิโน แคโรทีนอยด์ คลอโรฟิลล์ และเอนไซม์ เช่น ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเตส(SOD) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
     -ปรับสมดุลฮอร์โมน -อัลฟัลฟามีองค์ประกอบพืชที่เรียกว่าไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำงานร่วมกับฮอร์โมนเอสตาไดออล โดยไฟโตเอสโตเจน ที่พบในอัลฟัลฟามี 3 ตัวคือ โคเมสทรอล จีเนสตีน และฟอร์โมนีติน ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน นอกจากนั้นอัลฟัลฟายังส่งผลต่อ การทำงานของการหลั่งฮอร์โมนไทโรโทรปิน ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องกับการเกิดเนื้องอกในร่างกายด้วย
     -ลดระดับคลอเรสเตอรอล - จากการทดสอบมากมายได้แสดงให้เห็นว่าอัลฟัลฟาช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และสารไขมัน ความหนาแน่นต่ำ และต่ำมาก ทั้งนี้เป็นเพราะลำไส้มีการดูดซึมที่ดีขึ้น เนื่องมาจากสารไฟโตสเตอรอล และซาโปนินที่มีอยู่ในอัลฟัลฟานั่นเอง
     -ป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบ -อัลฟัลฟามีประโยชน์ ช่วยป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบ ทั้งนี้เพราะระดับของสารอาหารและคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในอัลฟัลฟาจะช่วยขับล้างสารพิษและการขับถ่ายของเสียได้ตามธรรมชาติ
     -ป้องกันการเป็นพิษในระบบย่อยอาหาร - อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยเอนไซม์และ คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นประโยชน์กับกระเพาะอาหารของเรา โดยคลอโรฟิลล์จะช่วยในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งช่วยลดกลิ่นเหม็นและรักษาเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีทริซิน สารประกอบที่พบในอัลฟัลฟา ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายการทำงานของกล้ามเนื้อ อัลฟัลฟาจึงให้คุณประโยชน์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารและลำไส้นั่นเอง  

นอกจากนี้แล้วอัลฟัลฟายังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายเช่น

-กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
-ส่งเสริมการทำงานของกระแสเลือด และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
-ส่งเสริมการดูดซึมโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย
-ช่วยปรับสภาพเลือดให้มีความบริสุทธิ์ขึ้น
-ป้องกันไขมันจับตัวที่ผนังหลอดเลือด
-ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
-ช่วยลดปัญหาอันเกิดเนื่องจากภาวะวัยทอง


วีทกราส สรรพคุณเพื่อชีวิต

     วีทกราส หรือต้นอ่อนข้าวสาลี เป็นผักที่มีใบสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นที่รู้จักมานานนับพันๆปีแล้ว ว่ามีสรรพคุณในการช่วยขับล้างสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย ต้นวีทกราสประกอบไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ที่มีความเข้มข้นสูง เอนไซม์ โปรตีน และสารอาหารจากพืชมากมาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ เช่นแคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม ซัลเฟอร์ และโคบอลต์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในอุดมคติเลยทีเดียว เพราะประกอบไปด้วยกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เพียงพอที่ร่างกายเราต้องการในแต่ละวัน

คุณค่าของวีทกราส และประโยชน์ทางด้านโภชนาการ

       วีทกราสและอัลฟัลฟา นั้นเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีสรรพคุณด้านโภชนาการมากถึง 40 ประการ ยกตัวอย่างเช่น

     -วีทกราสอุดมไปด้วยออกซิเจน เช่นเดียวกับพืชสีเขียวที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ สมองและเนื้อเยื่อของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง
     -ในทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าคลอโรฟิลล์ สามารถยับนั้งการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตรต่อร่างกายมนุษย์
     -คลอโรฟิลล์(วีทกราส) เสริมสร้างกระแสโลหิต จากการศึกษาในสัตว์ทดลองได้แสดงให้เห็นว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่สามารถทำปฎิกิริยากับสารพิษใดๆ ได้อย่างอิสระ จากการทดลองให้สารคลอโรฟิลล์กับสัตว์ทดลองที่เป็นโลหิตจาง หรือมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ พบว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 4-5 วัน
     -แม้คลอโรฟิลล์จะสามารถสกัดได้จากพืชหลายชนิด แต่คลอโรฟิลล์ที่สกัดจากวีทกราสมีความพิเศษยิ่งกว่า ซึ่งนอกจากคลอโรฟิลล์แล้ว ยังพบแร่ธาตุที่มนุษย์ต้องการ มากกว่า 100 ชนิด และหากวีทกราสนั้นปลูกในดินที่ใช้สารอินทรีย์ที่ช่วยในการเติบโต จะสามารถดูดซึมแร่ธาตุได้ถึง 92 ชนิด จาก 102 ชนิด ที่เราทราบว่ามีอยู่ในดิน
     -น้ำคลอโรฟิลล์ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อ จะช่วยปรับสภาพการทำงานของเนื้อเยื่อให้ดีขึ้น
     -น้ำวีทกราสสามารถขับล้างสารพิษได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับน้ำแครอท น้ำผลไม้ หรือน้ำผักชนิดอื่นๆ ดร.เอิร์ป โทมัส และทีมงานของ ดร.แอนน์ วิคมอร์ กล่าวว่า วีทกราส 15 ปอนด์ มีคุณค่าเท่ากับแครอท ผักกาดหอม และผักอื่นๆ รวมกันถึง 350 ปอนด์
     -คลอโรฟิลล์ทำให้สารพิษในร่างกายหมดฤทธิ์ ล้างยาต่างๆที่สะสมในร่างกาย และยังขจัดธาตุโลหะหนักออกจากร่างกายอีกด้วย
     -คลอโรฟิลล์จะช่วยล้างสารพิษที่อยู่ในตับ ในขณะเดียวกันก็จะปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร
     -ในวารสารเกี่ยวกับการผ่าตัดของอเมริกา (1940) ดร.เบนจามิน กรูสกิน แนะนำว่า คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค ในบทความนั้นยังแนะนำการใช้คลอโรฟิลล์ในการกำจัดกลิ่นเหม็น ทำให้การอักเสบจากเชื้อสเตร็ป บรรเทาลง ช่วยในการสมานแผล ช่วยในการปลูกถ่ายผิวหนัง รักษาอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง รักษาอาการหูน้ำหนวกเรื้อรัง รักษาอาการเส้นเลือดขอด และรักษาบาดแผลที่เท้า ช่วยขจัดการเป็นฝีตุ่มพุพองตามผิวหนัง และโรคติดต่อทางผิวหนังอื่นๆ รักษาแผลที่ทวารหนัก และได้ผลดีในการรักษาอาการอักเสบของปากมดลูก ขจัดอาการอักเสบในช่องคลอดอันเนื่องมาจากพยาธิ ลดอาการไข้จากไข้ไทฟอยด์ และรักษาอาการหนองไหลออกมากราย
     -การดื่มน้ำวีทกราสเป็นประจำจะช่วยรักษาปัญหาผิวพรรณต่างๆเช่น โรคเรื้อน หรือผื่นคัน อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการสิว และรอยแผลเป็นต่างๆ เมื่อรับประทานเป็นประจำไปได้สักระยะ (ประมาณ 7-8 เดือน) รวมทั้งยังช่วยดูแลเส้นผมให้ดูดกดำอยู่เสมอ
     -น้ำวีทกราสเหมาะมากสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก และช่วยทำให้การบีบตัวของลำไส้ทำงานดีขึ้น และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกเนเซียม
     -ดร.เบิซเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ เรียกคลอโรฟิลล์ว่า "พลังงานจากดวงอาทิตย์เข้มข้น" เขากล่าวว่า คลอโรฟิลล์จะเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ลำไส้ มดลูก และปอด
     -ดร.เบิซเซอร์ ได้ระบุว่า การใช้คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ (วีทกราส) นั้นสามารถล้างพิษในร่างกาย ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ และทำให้สารพิษหมดสภาพ
     -วีทกราสช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต และเสริมสร้างเส้นเลือดฝอยให้แข็งแรง เป็นต้น






คุณทราบหรือไม่ว่า โคเอนไซม์ คิวเทน มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?

      โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10 ) หรือ โคคิวเทน (CoQ10) เป็นสารอาหารที่มีความคล้ายคลึงกับวิตามินซึ่งมีความจำเป็นต่อระบบการทำงานขั้นพื้นฐานของร่างกายให้สามารถทำงานได้ตามปกติ  โคเอนไซม์ คิวเทน  หรือ ยูบิควินอน (Ubiquinone) ภูกพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957 เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ละลายได้ดีในน้ำมัน
     มีผลการวิจัยมากมายกว่า 5,000 รายการที่กล่าวถึงกลไกการทำงานของร่างกายมนุษย์ที่สามารถสังเคราะห์วิตามินจากอวัยวะต่างๆได้ อาทิ วิตามินอี วิตามินเค กรดโฟลิค ซึ่งรวมไปถึงโคเอนไซม์คิวเทนด้วย  สำหรับตัวเลข 10 ที่ห้อยท้ายนั้น หมายถึงจำนวนโครงสร้างทางชีวเคมีของ  โคเอนไซม์ คิวเทน ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างพลังงานมากกว่า 95% ในร่างกายมนุษย์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อวัยวะบางส่วนในร่างกายที่ใช้พลังงานมากอย่าง หัวใจ ตับ หรือไต จะมีความต้องการ โคเอนไซม์ คิวเทน ในปริมาณมากกว่าที่อวัยวะอื่นๆ ในร่างกายต้องการ และถึงแม้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้าง โค คิวเทน เองได้ แต่ก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานเสริมเพิ่มเติมเข้าไป

การทำงานของ  โคเอนไซม์ คิวเทน 

      โคเอนไซม์ คิวเทน แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานในร่างกาย และส่วนที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ซึ่งมีการทำงานดังนี้
     - โคเอนไซม์ คิวเทน  มีบทบาทสำคัณในการผลิตพลังงานในร่างกายโดยการถ่ายเทอิเลคตรอนให้กับไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ภายในเซลล์ และไมโตคอนเดรีย นี้เองจะไปทำหน้าที่ดูดซับไขมันและสารอื่นๆ เพื่อแปลงให้เป็นพลังงานสำหรับร่างกายในลำดับต่อไป
     -อนุมูลอิสระเกิดจากการที่อะตอมที่มีโมเลกุลไม่สมบูรณ์ไปแย่งคู่โมเลกุลจากอะตอมอื่นๆ ทำให้โมเลกุลที่ถูกแย่งไปมีความผิดปกติ ส่งผลเสียต่อ DNA ของเซลล์ และยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคเสื่อมถอยต่างๆ ในทางกลับกับหากร่างกายมีโคเอนไซม์ คิวเทน ในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายของโมเลกุลได้ถึง 95% จึงนับได้ว่าโคเอนไซม์ คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถป้องกันโรคเสื่อมถอยต่างๆ เช่น อาการหัวใจเต้นผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิต ฯลฯ

คุณสมบัติของ โคเอนไซม์ คิวเทน 

     -ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสัน
     -ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจากระบบการทำงานของหัวใจ
     -ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจากการทำงานผิดปกติ ของ                            ไมโตคอนเดรีย
     -เสริมสร้างการผลิตสเปิร์ม และความสมบูรณ์ทางเพศ
     -บรรเทาอาการไมเกรน
     -ชะลอความชรา
     -ช่วยฟื้นฟูสุขภาพช่องปากจากความเจ็บป่วย
     -เสริมการทำงานของวิตามินซี และวิตามินอี ให้มีประสิทธิภาพในร่างกาย        ยาวนานขึ้น
     -ควบคุระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
     -ป้องกันกานเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
     -พัฒนาระบบประสาทและสมอง
     -ยับยั้งการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเส้นเลือดสมองอุด        ตัน
     -มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก จึงเป็นประโยชน์ใน          การรักษามะเร็งเต้านม


เอกสารอ้างอิง: Nutritional Health Benefit Vol.1 //New Life Worldwide (Thailand)CO.,LTD/NU WEALTH INC.

ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ผักเม็ด นิวไลฟ์ ขอนแก่น MIDC 11                               (363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 089-717-2425,085-007-5185)




















วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สุขภาพทางเลือก ประสบการณ์ตรงจากผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ นิวไลฟ์ เวิลด์ไวด์


ประสบการณ์ตรงจากสมาชิกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพ แล้วบอกต่อที่ให้ทั้งความสุขที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีโอกาสได้มีทางเลือกในการดูแลสุขภาพ ลองใช้วิจารณญานในการรับชมครับ





ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณ คุณลือเดช ชาญกว้าง ที่ได้นำประสบการณ์ดีๆ มาแบ่งปัน ให้อีกหลายๆๆท่านได้เปิดใจในการดูแลสุขภาพ มีให้เลือกหลากหลายวิธี แต่ท่านและครอบครัวได้ตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ ของนิวไลฟ์ เวิล์ดไวด์ ในการดูแลสุขภาพและได้บอกบุญต่อญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ขออานิสงค์ผลบุญนี้ ได้ส่งเสริมให้ท่านและครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรง และกิจการเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นขึ้นไป

สอบถามคุณลือเดช ชาญกว้าง โดยตรงได้ที่  083-286-3388
หรือสอบถามที่ศูนย์นิวไลฟ์ เวิลด์ไวด์ ขอนแก่น  089-717-2425 , 085-007-5185
   

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

NEW LIFE FFC vs Other Products

ความแตกต่างของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบเข้มข้น นิว ไลฟ์ กับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นที่วางขายตามท้องตลาด

ข้อเปรียบเทียบ  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบเข้มข้น นิว ไลฟ์ (FFC=Functional Food Concentrates) กับ(OP=Other Products ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอื่นที่ใน ท้องตลาด)

-ส่วนประกอบ 
FFC สารสกัดจากธรรมชาติ แร่ธาตุ และสารอาหารที่มีประโยชน์จากพืช,การดูแล การปลูก และการเก็บเกี่ยวอยู่ในพื้นที่ควบคุม ,ปลอดภัยจากมลพิษ ,สารพิษต่างๆ ,เป็นอิทรีย์ธาตุ ,ไม่มีสาร GMO
(OPส่วนใหญ่ผลิตจากสารสังเคราะห์,อาจมีบางส่วนที่สกัดจากธรรมชาติ แต่ไม่ได้ควบคุมการปลูกให้ปลอดมลพิษ,อาจจะมี GMO ผสมอยู่,ใช้ปุ๋ยเคมีเร่งการปลูก)

-ความเข้มข้น
FFC ใช้เครื่องมือแยกสารสกัดชนิดเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อป้องกัน มิให้สารอาหารที่มีประโยชน์ ต่อร่างกายถูกทำลาย จึงยืนยันว่าเหมาะสมกับร่างกาย
(OP อาจมีสารอาหารต่ำและผสมกันหลายๆชนิดทำให้ไปทำลายสารอาหารที่มีประโยชน์ เมื่อสารอาหารมีระดับความเข้มข้นไม่สมดุลก็อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้)

-ส่วนผสมของสารอาหาร
FFC ประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่นำมาผสมกับสารต่างๆของพืช เพื่อช่วยเสริมสร้างสุขภาพของสมอง ร่างกายและจิตใจ โดยผ่านกระบวนการตรวจสอบทุกขั้นตอน
(OP  ขบวนการผลิตอาจใช้อุณหภูมิสูง แอลกอฮอล์ หรือสารเคมี ที่อาจจะไปทำลายคุณค่าของสารอาหารให้เสียไป)

-การดูดซึม 
FFC สารที่มีส่วนทำลายสุขภาพได้ถูกแยกออกไปด้วยขบวนการสกัดแยก โดยเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้ได้สารอาหารเฉพาะที่ร่างกายต้องการไปออกฤทธิ์ในร่างกายถึง 90 % สามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้ ทำให้ร่างกายฟื้นฟู อย่างรวดเร็ว และไม่มีสารตกค้างในร่างกาย
( OP  ขนาดโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ ทำให้ยากต่อการดูดซึม และการนำไปใช้ ส่วนใหญ่จะเหลือตกค้างอยู่ในอวัยวะสำคัญได้ เช่น ตับ ไต ฯลฯ)

-การวิจัยทางวิทยาศาสตร์
FFC คิดค้นและพัฒนาโดย ดร.เจฟฟรีย์ เอส แบลนด์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านวิทยาศาสตร์ฟังชั่นนัลเมดดิซีนและโภชนาการ มีความรู้ระดับสูงเกี่ยวกับยา และวิทยาศาสตร์ทางด้านโภชนาการ
(OP ไม่ได้รับการยอมรับจากแพทย์ และนักโภชนาการ)

จุดเด่นของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูตรเข้มข้นของ นิวไลฟ์
-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
-ไม่เจือปนวัตถุกันเสีย
-ไม่มียาฆ่าแมลงเจือปน
-ไม่มีสารปรุงแต่ง
-ไม่มียาฆ่าพืชเจือปน
-ไม่มีสารปรุงรสและแต่งสี

ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ ผักเม็ด นิวไลฟ์ เวิลด์ไวด์ ขอนแก่น MIDC 11   089-717-2425 , 085-007-5185

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ เอฟ เอฟ ซี (ฟังชั่นนัลฟู้ด คอนเซนเตรด)

ฟังชั่นนัลฟู้ด คอนเซนเตรด (เอฟ เอฟ ซี) คืออะไร
           เอฟ เอฟ ซี ได้เกิดขึ้นจากการค้นคว้า วิจัย มาตั้งแต่ 20 ปี ก่อน ด้วยแนวคิดที่ว่าอาหารมีบทบาทและหน้าที่ ของมันเอง ฟังชั่นนัลฟู้ด คืออาหารที่มีคุณประโยชน์ เฉพาะตัว ส่วนคอนเซนเตรด หรือ ความเข้มข้นสูงนั้น ก็อยู่ในแนวความคิดที่ได้รับการยอมรับว่า ถ้าหากสารอาหารเฉพาะตัวทั้งหลายนั้น ถูกทำให้มีความเข้มข้นสูงขึ้น ก็จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น เพราะทำให้ไม่ต้องรับประทานอาหารเหล่านั้นในปริมาณมหาศาล เพื่อให้ได้รับคุณค่าสารอาหารที่เพียงพอ 

อะไรคือจุดเด่นที่ไม่เหมือนใครของ เอฟ เอฟ ซี เมื่อเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกันในท้องตลาด
           สิ่งสำคัญที่สุด ในการแบ่งแยกว่า เอฟ เอฟ ซี นั้นแตกต่างจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทั่วไปก็คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยทั่วไปนั้น จะนำเอาวัตถุสังเคราะห์ หรือสารสกัดหลายๆตัว เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และสังกะสี มาประกอบเป็นเม็ดยา ในขณะที่ เอฟ เอฟ ซี นั้นได้นำอาหารซึ่งมีคุณค่านับพันชนิดที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจจะเป็นน้ำ เซลลูโลส และนำเอาส่วนประกอบอื่นๆในอาหารซึ่งไม่มีความจำเป็นสำหรับร่างกายแยกออกมาให้คงเหลือไว้แต่สารอาหารตามธรรมชาติ ที่มีความเข้มข้นสูง จากนั้นจึงนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพ โดยมีส่วนผสมที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสารอาหารที่พืชได้สังเคราะห์ขึ้น ดังนั้นจึงดูคล้ายกับว่าได้มีการจัดวางความสมดุลของสารอาหารต่างๆ จากสารธรรมชาติ 

ผู้ที่ใช้ เอฟ เอฟ ซี บางคน โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มใช้คั้รงแรก อาจจะปรากฎอาการปวด ผื่นขึ้น มึนงง หรือเกิดอาการปวดศรีษะ ฯลฯ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
            เมื่อใดก็ตามที่คุณเปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารหรือโภชนาการ ร่างกายของคุณก็จะเข้าสู่ภาวะของการปรับสภาพ ซึ่งก็เหมือนกับว่าคุณได้เปลี่ยนโปรแกรมการออกกำลังกาย หรือคุณเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต นั่นจะทำให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่เหมือนเดิม เช่นเดียวกับสารอาหาร หรือสารอาหารเข้มข้นที่คุณรับเข้าไปนั้น ร่างกายของคุณก็จะมีภาวะการปรับสภาพ คำแนะนำทั่วไปก็คือ ควรเริ่มต้นด้วยขนาดน้อยๆก่อน จากนั้นค่อยๆเพิ่มขนาดทีละเล็กละน้อย เมื่อผ่านไปประมาณ 1-3 สัปดาห์ ร่างกายของคุณก็จะปรับสภาพได้อย่างสอดคล้อง

ผู้ใช้บางคนก็ไม่ประสบอาการจากการบำบัดข้างต้น เมื่อเขาเริ่มบริโภค เอฟ เอฟ ซี นั่นหมายถึงว่า ร่างกายของเขาเหล่านั้นไม่ตอบสนอง เอฟ เอฟ ซี รึเปล่า
             ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน หากผู้ที่มีการตอบสนองที่ดีต่อผลิตภัณฑ์ นั่นหมายความว่าเขาเลือกขนาดบริโภคได้เหมาะสมพอดีกับความต้องการของร่างกาย โดยระยะเวลาที่เหมาะสม ที่ร่างกายสามารถแสดงให้เห็นถึงสรรพคุณของ เอฟ เอฟ ซี ที่ได้รับเข้าไปนั้น โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ ตั้งแต่เริ่มรับประทานอย่างต่อเนื่อง ส่วนคนที่ไม่มีอาการผิดปกติเหล่านี้ นั่นเป็นสัญญาณที่ดี ที่แสดงว่าร่างกายของเขา เหล่านั้นมีการตอบรับต่อผลิตภัณฑ์ได้ดีเยี่ยม

ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ผักเม็ด นิวไลฟ์ ขอนแก่นMIDC 0011
 363/5 ถ.กลางเมือง ตำบล ในเมืองขอนแก่น จังหวัด ขอนแก่น (089-717-2425,085-007-5185)

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำคัญไฉน?



คุณอาจจะกล่าวได้ว่า "โดยปกติแล้ว เรามักจะได้รับสารอาหารครบถ้วนจากการรับประทานอาหารในแต่ละวันอยู่แล้วฉะนั้นการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารถือว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองทั้งเวลาและเงินทอง"

แต่แท้จริงแล้ว
   -ผักและผลไม้ที่เรารับประทานอยู่ทุกวันนี้ล้วนปนเปื้อนด้วยสารเคมี ต่างๆ นานา ซึ่งเป็นอันตรายและสามารถส่งผลเสียต่อร่างกายได้ อาทิ ยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี รวมถึงยากำจัดวัชพืชต่างๆ
   -สำหรับการเลี้ยงสัตว์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไก่ หรือ วัว มักจะมีการฉีดฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดสารปนเปื้อนต่างๆในอาหาร และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ดังกล่าว
   -สภาวะมลพิษทางธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ดังนั้นสารอาหารที่ร่างกายได้รับแต่ละวัน อาจจะไม่เพียงพอ หรือด้อยคุณภาพ เราจึงจำเป็นต้องหันมารับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายสมบูรณ์ และแข็งแรง
   -ความเครียดจากการทำงาน หรือจากการเรียน อาจส่งผลให้ร่างกายได้รับสารอาหารน้อยลงกว่าเดิม เนื่องจากความเครียดจะกระตุ้นการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายอย่างรวดเร็ว และในทางกลับกัน ระบบการดูดซึมสารอาหารจะทำงานช้าลง

บทสรุปก็คือ
        ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตทั้งในยุคปัจจุบันและอนาคต ในการต่อสู้กับภัยอันตรายที่อาจปนเปื้อนมาในอาหารและน้ำดื่มที่เราบริโภค หรือมลพิษต่างๆ รอบตัว สำหรับสมาชิกทุกคนภายในครอบครัวที่คุณรัก รวมถึงตัวคุณเอง

ด้วยความปารถนาดีจาก ผักเม็ด นิวไลฟ์ ศูนย์ขอนแก่น 363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
 089-717-2425 ,085-007-5185

เจ็บป่วยแต่ละที ต้องเตรียมเงินกันเท่าไร?

สวัสดีครับเพื่อนๆที่รักสุขภาพ ที่ต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ให้มีสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
เนื่องจากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันอุดมด้วยมลพิษทาง อาหาร น้ำ อากาศ ประกอบกับความเร่งรีบในการหาเลี้ยงชีพ พักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่ผ่อนคลายจิตใจ เกิดภาวะความเครียด ค่อยๆสะสม ๆ จนทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราไม่อยากให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงอยากแบ่งปันประสบการณ์ดีต่อเพื่อนๆ ครับ ด้วยความปารถนาดี นี้เป็นข้อมูลของผู้ที่หวังดี ขอขอบคุณ K-Expert TIPS ที่นำข้อมูลดีๆมาให้ท่านได้พิจารณา อโรคยา ปรมลาภา เจ็บป่วยแต่ละที ต้องเตรียมเงินกันเท่าไหร่ ถ้าไม่รีบป้องกัน


ด้วยความปารถนาดีจาก ผักเม็ด นิวไลฟ์ ศูนย์ขอนแก่น 363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น
 089-717-2425 ,085-007-5185