-อัลฟัลฟา (Alfalfa)
-วีทกราส (Wheatgrass)
-โคเอมไซม์ คิวเทน (Co-Enzyme Q10)
อัลฟัลฟา - บิดาแห่งอาหารทั้งมวล
อัลฟัลฟา ถูกนำมาในประเทศจีนตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 โดยใช้ในการรักษาโรคไต และบรรเทาอาการตัวบวม อันเนื่องมาจากการกักเก็บน้ำในร่างกายมากเกินไป อัลฟัลฟานั้นเป็นสมุนไพรยืนต้นซึ่งเติบโตได้ในสภาพภูมิอากาศแตกต่างกันทั่วโลก จากการวิจัยทางการแพทย์หลายๆ งานวิจัยทำให้เรารู้ว่า อัลฟัลฟานั้นประกอบด้วยสารไบโอติน แคลเซียม โคลิน อินโนซิทอล เหล็ก แมงกานีส PABA (Para - amino benzoic acid) ฟอสฟอรัส โพแตสเซียท โปรตีน โซเดียม ซัลเฟอร์ ทริปโตเฟน (กรดอะมิโน ชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในโปรตีน) และวิตามินต่างๆ ทั้งวิตามินเอ วิตามินบี คอมเพล็กซ์ วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค และวิตามินพี นอกจากนั้นแล้วอัลฟัลฟายังเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญที่มีคลอโรฟิลล์ และแคโรทีนอยู่มากมาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
ประโยชน์ของอัลฟัลฟา
อัลฟัลฟาถูกนำมาใช้ในการลดระดับน้ำตาลในเลือด และระดับคลอเลสเตอรอล ซึ่งให้ผลที่เป็นประโยชน์ต่อหัวใจของเรา นอกจากนั้นอัลฟัลฟา ยังมีคุณสมบัติช่วยในการขับถ่าย และลดความอยากอาหารในขณะเดียวกัน อัลฟัลฟาก็ยังถูกนำมาช่วยรักษาอาการติดเชื้อในระบบปัสสาวะ ไต ต่อมลูกหมากทำงานผิดปกติ อีกทั้งยังช่วยระงับอาการปวดในผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ และถุงน้ำต่างๆ ติดเชื้อ และอัลฟัลฟายังเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีอาการวัยทองด้วย เช่นช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ ที่เกิดขึ้นในบางครั้งบางคราว นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มระดับพลังงานในร่างกาย เนื่อจากมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่สูงมาก
เนื่องจากอัลฟัลฟามีส่วนประกอบที่มีคุณสมบัติทางโภชนาการสูงดังนั้นประโยชน์ของอัลฟัลฟา จึงมีมากมายหลายรูปแบบ เช่น
-บำรุงสุขภาพ-อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งนี้เนื่องจากรากที่หยั่งลึกลงไปในดินได้ดูดซึมธาตุอาหารต่างๆ จากเอมไซม์ที่อยู่ในดิน อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยวิตามินมากมาย(โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเค) แร่ธาตุต่างๆ กรดอะมิโน แคโรทีนอยด์ คลอโรฟิลล์ และเอนไซม์ เช่น ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเตส(SOD) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น
-ปรับสมดุลฮอร์โมน -อัลฟัลฟามีองค์ประกอบพืชที่เรียกว่าไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ทำงานร่วมกับฮอร์โมนเอสตาไดออล โดยไฟโตเอสโตเจน ที่พบในอัลฟัลฟามี 3 ตัวคือ โคเมสทรอล จีเนสตีน และฟอร์โมนีติน ซึ่งมีคุณสมบัติสำคัญในการปรับสมดุลของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน นอกจากนั้นอัลฟัลฟายังส่งผลต่อ การทำงานของการหลั่งฮอร์โมนไทโรโทรปิน ซึ่งมีผลเกี่ยวเนื่องกับการเกิดเนื้องอกในร่างกายด้วย
-ลดระดับคลอเรสเตอรอล - จากการทดสอบมากมายได้แสดงให้เห็นว่าอัลฟัลฟาช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ และสารไขมัน ความหนาแน่นต่ำ และต่ำมาก ทั้งนี้เป็นเพราะลำไส้มีการดูดซึมที่ดีขึ้น เนื่องมาจากสารไฟโตสเตอรอล และซาโปนินที่มีอยู่ในอัลฟัลฟานั่นเอง
-ป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบ -อัลฟัลฟามีประโยชน์ ช่วยป้องกันการเป็นโรคไขข้ออักเสบ ทั้งนี้เพราะระดับของสารอาหารและคลอโรฟิลล์ที่มีอยู่ในอัลฟัลฟาจะช่วยขับล้างสารพิษและการขับถ่ายของเสียได้ตามธรรมชาติ
-ป้องกันการเป็นพิษในระบบย่อยอาหาร - อัลฟัลฟาอุดมไปด้วยเอนไซม์และ คลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นประโยชน์กับกระเพาะอาหารของเรา โดยคลอโรฟิลล์จะช่วยในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งช่วยลดกลิ่นเหม็นและรักษาเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีทริซิน สารประกอบที่พบในอัลฟัลฟา ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายการทำงานของกล้ามเนื้อ อัลฟัลฟาจึงให้คุณประโยชน์ต่อการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารและลำไส้นั่นเอง
นอกจากนี้แล้วอัลฟัลฟายังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายเช่น
-กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ของร่างกายให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
-ส่งเสริมการทำงานของกระแสเลือด และป้องกันการเกิดลิ่มเลือด
-ส่งเสริมการดูดซึมโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย
-ช่วยปรับสภาพเลือดให้มีความบริสุทธิ์ขึ้น
-ป้องกันไขมันจับตัวที่ผนังหลอดเลือด
-ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
-ช่วยลดปัญหาอันเกิดเนื่องจากภาวะวัยทอง
วีทกราส สรรพคุณเพื่อชีวิต
วีทกราส หรือต้นอ่อนข้าวสาลี เป็นผักที่มีใบสีเขียวเข้ม ซึ่งเป็นที่รู้จักมานานนับพันๆปีแล้ว ว่ามีสรรพคุณในการช่วยขับล้างสารพิษต่างๆออกจากร่างกาย ต้นวีทกราสประกอบไปด้วยสารคลอโรฟิลล์ที่มีความเข้มข้นสูง เอนไซม์ โปรตีน และสารอาหารจากพืชมากมาย อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี และแร่ธาตุต่างๆ เช่นแคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี โปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม ซัลเฟอร์ และโคบอลต์ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในอุดมคติเลยทีเดียว เพราะประกอบไปด้วยกรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เพียงพอที่ร่างกายเราต้องการในแต่ละวัน
คุณค่าของวีทกราส และประโยชน์ทางด้านโภชนาการ
วีทกราสและอัลฟัลฟา นั้นเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีสรรพคุณด้านโภชนาการมากถึง 40 ประการ ยกตัวอย่างเช่น
-วีทกราสอุดมไปด้วยออกซิเจน เช่นเดียวกับพืชสีเขียวที่อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ สมองและเนื้อเยื่อของร่างกายจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่ออยู่ในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง
-ในทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าคลอโรฟิลล์ สามารถยับนั้งการเจริญเติบโตและแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียที่ไม่เป็นมิตรต่อร่างกายมนุษย์
-คลอโรฟิลล์(วีทกราส) เสริมสร้างกระแสโลหิต จากการศึกษาในสัตว์ทดลองได้แสดงให้เห็นว่าคลอโรฟิลล์เป็นสารที่สามารถทำปฎิกิริยากับสารพิษใดๆ ได้อย่างอิสระ จากการทดลองให้สารคลอโรฟิลล์กับสัตว์ทดลองที่เป็นโลหิตจาง หรือมีจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ พบว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติภายใน 4-5 วัน
-แม้คลอโรฟิลล์จะสามารถสกัดได้จากพืชหลายชนิด แต่คลอโรฟิลล์ที่สกัดจากวีทกราสมีความพิเศษยิ่งกว่า ซึ่งนอกจากคลอโรฟิลล์แล้ว ยังพบแร่ธาตุที่มนุษย์ต้องการ มากกว่า 100 ชนิด และหากวีทกราสนั้นปลูกในดินที่ใช้สารอินทรีย์ที่ช่วยในการเติบโต จะสามารถดูดซึมแร่ธาตุได้ถึง 92 ชนิด จาก 102 ชนิด ที่เราทราบว่ามีอยู่ในดิน
-น้ำคลอโรฟิลล์ที่ถูกดูดซึมเข้าสู่เนื้อเยื่อ จะช่วยปรับสภาพการทำงานของเนื้อเยื่อให้ดีขึ้น
-น้ำวีทกราสสามารถขับล้างสารพิษได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับน้ำแครอท น้ำผลไม้ หรือน้ำผักชนิดอื่นๆ ดร.เอิร์ป โทมัส และทีมงานของ ดร.แอนน์ วิคมอร์ กล่าวว่า วีทกราส 15 ปอนด์ มีคุณค่าเท่ากับแครอท ผักกาดหอม และผักอื่นๆ รวมกันถึง 350 ปอนด์
-คลอโรฟิลล์ทำให้สารพิษในร่างกายหมดฤทธิ์ ล้างยาต่างๆที่สะสมในร่างกาย และยังขจัดธาตุโลหะหนักออกจากร่างกายอีกด้วย
-คลอโรฟิลล์จะช่วยล้างสารพิษที่อยู่ในตับ ในขณะเดียวกันก็จะปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร
-ในวารสารเกี่ยวกับการผ่าตัดของอเมริกา (1940) ดร.เบนจามิน กรูสกิน แนะนำว่า คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ในการฆ่าเชื้อโรค ในบทความนั้นยังแนะนำการใช้คลอโรฟิลล์ในการกำจัดกลิ่นเหม็น ทำให้การอักเสบจากเชื้อสเตร็ป บรรเทาลง ช่วยในการสมานแผล ช่วยในการปลูกถ่ายผิวหนัง รักษาอาการไซนัสอักเสบเรื้อรัง รักษาอาการหูน้ำหนวกเรื้อรัง รักษาอาการเส้นเลือดขอด และรักษาบาดแผลที่เท้า ช่วยขจัดการเป็นฝีตุ่มพุพองตามผิวหนัง และโรคติดต่อทางผิวหนังอื่นๆ รักษาแผลที่ทวารหนัก และได้ผลดีในการรักษาอาการอักเสบของปากมดลูก ขจัดอาการอักเสบในช่องคลอดอันเนื่องมาจากพยาธิ ลดอาการไข้จากไข้ไทฟอยด์ และรักษาอาการหนองไหลออกมากราย
-การดื่มน้ำวีทกราสเป็นประจำจะช่วยรักษาปัญหาผิวพรรณต่างๆเช่น โรคเรื้อน หรือผื่นคัน อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการสิว และรอยแผลเป็นต่างๆ เมื่อรับประทานเป็นประจำไปได้สักระยะ (ประมาณ 7-8 เดือน) รวมทั้งยังช่วยดูแลเส้นผมให้ดูดกดำอยู่เสมอ
-น้ำวีทกราสเหมาะมากสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูก และช่วยทำให้การบีบตัวของลำไส้ทำงานดีขึ้น และยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกเนเซียม
-ดร.เบิซเซอร์ นักวิทยาศาสตร์ เรียกคลอโรฟิลล์ว่า "พลังงานจากดวงอาทิตย์เข้มข้น" เขากล่าวว่า คลอโรฟิลล์จะเสริมสร้างการทำงานของหัวใจ ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ลำไส้ มดลูก และปอด
-ดร.เบิซเซอร์ ได้ระบุว่า การใช้คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ (วีทกราส) นั้นสามารถล้างพิษในร่างกาย ซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอ และทำให้สารพิษหมดสภาพ
-วีทกราสช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต และเสริมสร้างเส้นเลือดฝอยให้แข็งแรง เป็นต้น
คุณทราบหรือไม่ว่า โคเอนไซม์ คิวเทน มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร?
โคเอนไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10 ) หรือ โคคิวเทน (CoQ10) เป็นสารอาหารที่มีความคล้ายคลึงกับวิตามินซึ่งมีความจำเป็นต่อระบบการทำงานขั้นพื้นฐานของร่างกายให้สามารถทำงานได้ตามปกติ โคเอนไซม์ คิวเทน หรือ ยูบิควินอน (Ubiquinone) ภูกพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1957 เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ ละลายได้ดีในน้ำมัน
มีผลการวิจัยมากมายกว่า 5,000 รายการที่กล่าวถึงกลไกการทำงานของร่างกายมนุษย์ที่สามารถสังเคราะห์วิตามินจากอวัยวะต่างๆได้ อาทิ วิตามินอี วิตามินเค กรดโฟลิค ซึ่งรวมไปถึงโคเอนไซม์คิวเทนด้วย สำหรับตัวเลข 10 ที่ห้อยท้ายนั้น หมายถึงจำนวนโครงสร้างทางชีวเคมีของ โคเอนไซม์ คิวเทน ซึ่งมีความสำคัญต่อการสร้างพลังงานมากกว่า 95% ในร่างกายมนุษย์ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่อวัยวะบางส่วนในร่างกายที่ใช้พลังงานมากอย่าง หัวใจ ตับ หรือไต จะมีความต้องการ โคเอนไซม์ คิวเทน ในปริมาณมากกว่าที่อวัยวะอื่นๆ ในร่างกายต้องการ และถึงแม้ว่าร่างกายของเราสามารถสร้าง โค คิวเทน เองได้ แต่ก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องรับประทานเสริมเพิ่มเติมเข้าไป
การทำงานของ โคเอนไซม์ คิวเทน
โคเอนไซม์ คิวเทน แบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงานในร่างกาย และส่วนที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ ซึ่งมีการทำงานดังนี้
- โคเอนไซม์ คิวเทน มีบทบาทสำคัณในการผลิตพลังงานในร่างกายโดยการถ่ายเทอิเลคตรอนให้กับไมโตคอนเดรีย ซึ่งเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง ภายในเซลล์ และไมโตคอนเดรีย นี้เองจะไปทำหน้าที่ดูดซับไขมันและสารอื่นๆ เพื่อแปลงให้เป็นพลังงานสำหรับร่างกายในลำดับต่อไป
-อนุมูลอิสระเกิดจากการที่อะตอมที่มีโมเลกุลไม่สมบูรณ์ไปแย่งคู่โมเลกุลจากอะตอมอื่นๆ ทำให้โมเลกุลที่ถูกแย่งไปมีความผิดปกติ ส่งผลเสียต่อ DNA ของเซลล์ และยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคเสื่อมถอยต่างๆ ในทางกลับกับหากร่างกายมีโคเอนไซม์ คิวเทน ในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายของโมเลกุลได้ถึง 95% จึงนับได้ว่าโคเอนไซม์ คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพ สามารถป้องกันโรคเสื่อมถอยต่างๆ เช่น อาการหัวใจเต้นผิดปกติ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิต ฯลฯ
คุณสมบัติของ โคเอนไซม์ คิวเทน
-ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคพาร์กินสัน
-ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคจากระบบการทำงานของหัวใจ
-ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคจากการทำงานผิดปกติ ของ ไมโตคอนเดรีย
-เสริมสร้างการผลิตสเปิร์ม และความสมบูรณ์ทางเพศ
-บรรเทาอาการไมเกรน
-ชะลอความชรา
-ช่วยฟื้นฟูสุขภาพช่องปากจากความเจ็บป่วย
-เสริมการทำงานของวิตามินซี และวิตามินอี ให้มีประสิทธิภาพในร่างกาย ยาวนานขึ้น
-ควบคุระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
-ป้องกันกานเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
-พัฒนาระบบประสาทและสมอง
-ยับยั้งการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเส้นเลือดสมองอุด ตัน
-มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก จึงเป็นประโยชน์ใน การรักษามะเร็งเต้านม
ด้วยความปารถนาดีจาก ศูนย์ผักเม็ด นิวไลฟ์ ขอนแก่น MIDC 11 (363/5 กลางเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 089-717-2425,085-007-5185)
คิดถึงจังเลย
ตอบลบ